|
กฎหมาย
คือ กฎข้อบังคับหรือระเบียบของสังคมหรือรัฐ ซึ่งตราขึ้นโดยบุคคล
หรือคณะบุคคล |
หรือผู้แทนชนชั้นที่กุมอำนาจในทางเศรษฐกิจแห่งสังคมหรือรัฐนั้น
ๆ บุคคลหรือคณะบุคคลผู้ตรากฎ |
หมายออกมาบังคับประชาชนแห่งสังคมนั้น ๆ อาจจะเป็นผู้แทนของประชาชนส่วนใหญ่แห่งสังคมนั้น
ๆ |
อย่างแท้จริง หรืออาจจะเป็นผู้แทนของกลุ่มชนส่วนน้อยแห่งสังคมนั้น
ๆ ก็ได้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับระบอบ |
การปกครองของสังคมนั้น ๆ นั่นเองกล่าวคือ ถ้าการปกครองของสังคมเป็นระบอบประชาธิปไตย
ซึง |
หมายถึงประชาชนมีประชาธิปไตย ทั้งในทางการเมือง เศรษฐกิจ
และวัฒนธรรม หรือนัยหนึ่งปวงชนมี |
อธิปไตยสมบูรณ์ในการที่จะกำหนดวิถีชีวิตของเขาทั้งทางการเมือง
เศรษฐกิจและวัฒนธรรม ได้ตาม |
ความปรารถนาของเขาเองแล้ว นั่นก็หมายความว่าประชาชนส่วนใหญ่เป็นผู้กุมอำนาจแห่งสังคมหรือ |
รัฐนั้น ๆ อย่างแท้จริง และตามเนื้อหาการปกครองเช่นนี้
ประชาชนจึงจะกำหนดผู้แทนของเขาเองได้ |
ตามความปรารถนาตามวิถีทางของประชาธิปไตย และเมื่อเป็นเช่นนี้ผู้แทนหรือคณะผู้แทนก็คือผู้รักษา |
ผลประโยชน์ของชนชั้นแห่งสังคม ซึ่งถูกกำหนดหรือเลือกตั้งโดยประชาชนของสังคมนั้น
ๆ นั่นเอง |
อันหมายถึงเป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชนและเพื่อประชาชน
|
แต่ในทางตรงกันข้าม
ถ้าระบอบการปกครองไม่เป็นประชาธิปไตย อำนาจในทางการเมือง
|
เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ไม่ได้อยู่ในกำมือของประชาชนส่วนใหญ่หากไปตกอยู่ในกำมือของชนกลุ่ม |
น้อย ดังปรากฏการณ์ที่ผ่านมาในยุคทาส ยุคศักดินา และรวมทั้งยุคทุนนิยมในปัจจุบัน
ก็เป็นธรรมดา |
ที่ชนกลุ่มน้อยนิดนี้จะต้องเลือกหรือแต่งตั้งผู้แทนชนชั้นของเขาขึ้นเป็นผู้พิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของ |
ชนชั้น และก็ในขณะเดียวกันประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางการเมืองและเศรษฐกิจ
จึง |
ไม่มีโอกาสที่จะกำหนดผู้แทนและมีคณะผู้แทนชนชั้นของตนเองได้ตามปรารถนา
และดังนั้น คณะผู้ |
แทนในสังคมเช่นนี้ก็เป็นเพียงคณะผู้แทนของชนกลุ่มน้อยเท่านั้นเอง
ดังที่เป็นอยู่ในระบอบเผด็จการ |
ธนาธิปไตยในขณะนี้ |
กล่าวแต่โดยย่อก็คือ
ระบอบการปกครองของสังคมที่เป็นประชาธิปไตยเท่านั้น
ประชาชนส่วน |
ใหญ่จึงจะมีโอกาสมีคณะผู้แทนดำเนินกิจการทางการเมืองแทนชนชั้นของเขาได้อย่างแท้จริง
และ |
ระบอบการปกครองของสังคมที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ประชาชนส่วนใหญ่จะไม่มีโอกาสมีคณะผู้แทน |
พิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของเขาเลย หากคณะผู้แทนในสังคมที่ไม่เป็นประชาธิปไตยเช่นนั้น
ก็เป็น |
เพียงคณะผู้แทนรักษาผลประโยชน์ของชนกลุ่มน้อยที่กุมอำนาจเศรษฐกิจไว้ในกำมือเท่านั้น
ซึ่งอาจจะ |
เป็นกลุ่มศักดินาหรือกลุ่มนายทุน ตามกาลสมัย หรือนัยหนึ่ง
ชนชั้นใดเป็นผู้เป็นผู้กุมอำนาจในทาง |
เศรษฐกิจแห่งสังคม ชนชั้นนั้นก็จะมีคณะผู้แทนดำเนินกิจการทางการเมือง
เพื่อพิทักษ์รักษาไว้และนำ |
มาซึ่งผลประโยชน์ของเขา |
แต่อย่างไรก็ตาม
ไม่ว่าจะเป็นคณะผู้แทนของประชาชนส่วนใหญ่หรือคณะผู้แทนของชนกลุ่ม |
น้อย ต่างก็มีเจตจำนงตรงกันอยู่ประการหนึ่งคือเจตจำนงที่จะพิทักษ์รักษาไว้และนำมาซึ่งผลประโยชน์ |
ของกลุ่มชนที่ตนเป็นผู้แทน หรือพิทักษ์รักษาไว้และนำมาซึ่งผลประโยชน์แห่งชนชั้นของตัว |
ด้วยประการฉะนี้
กฎหมายที่ถูกตราออกมาโดยคณะผู้แทนของชนชั้นใดก็เป็นกฎหมายที่มี |
ลักษณะและสาระเพื่อพิทักษ์รักษาไว้ และนำมาซึ่งผลประโยชน์ของชนชั้นนั้น
|
ดังเช่นกฎหมายในยุคทาสก็พิทักษ์รักษาไว้และนำมาซึ่งผลประโยชน์ของนายทาสเช่น
กฎหมาย |
แห่งบาบิลอน ซึ่งบัญญัติไว้ว่า "บุคคลหนึ่งอาจมีสิทธิ์เหนือบุคคลอีกคนหนึ่งได้เช่นเดียวกับที่เขามีสิทธิ |
เหนือโคเหนือกระบือตัวหนึ่งฉะนั้น" |
กฎหมายในยุคศักดินา
ยุคทุนนิยม ก็เช่นเดียวกัน ล้วนแต่เป็นกฎหมายที่พิทักษ์รักษาไว้
และนำ |
มาซึ่งผลประโยชน์ของพวกศักดินาและพวกนายทุนดังเช่น กฎหมายรัฐธรรมนูญ
กฎหมายพรรคการ |
เมือง กฎหมายเลือกตั้ง กฎหมายป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์
และกฎหมายอื่น ๆ อีกหลาย |
ฉบับและหลายมาตราของไทยในปัจจุบันนี้ |
กฎหมายก็เช่นเดียวกับสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้
ในข้อที่ว่าไม่เป็นสิ่งคงกระพันหากย่อมแก้ไข |
เปลี่ยนแปลงได้เสมอ ตามเจตจำนงของชนชั้นที่กุมอำนาจในทางเศรษฐกิจ
การเมืองและวัฒนธรรม |
ของสังคม |
ดังนั้น
การที่จะให้ได้มาซึ่งกฎหมายเพื่อพิทักษ์รักษาไว้และนำมาซึ่งผลประโยชน์แก่ชนชั้นใดชน |
ชั้นหนึ่งชนชั้นนั้นจะต้องช่วงชิงอำนาจทางการเมืองให้ได้เสียก่อนเพราะอำนาจทางการเมืองเป็นปัจจัย |
ประการแรกและประการสุดท้ายในการเข้ากุมอำนาจรัฐ อันเป็นหนทางเข้าสู่อำนาจทางวัฒนธรรมและ |
เศรษฐกิจซึ่งจะยังผลให้ได้มาซึ่งกฎหมายที่จะรักษาผลประโยชน์แห่งชนชั้นของตน |
ในยุคทาส
เจ้าทาสเป็นฝ่ายกุมอำนาจรัฐ จึงตรากฎหมายออกมาเพื่อรักษาผลประโยชน์ของ |
เจ้าทาส |
ในยุคศักดินา
เจ้าศักดินาเป็นฝ่ายกุมอำนาจรัฐ จึงตรากฎหมายออกมาเพื่อรักษาผลประโยชน์ |
ของเจ้าศักดินา |
ในยุคทุนนิยม
เจ้าสมบัติหรือนายทุนเป็นฝ่ายกุมอำนาจรัฐ จึงตรากฎหมายออกมาเพื่อรักษาผล |
ประโยชน์ของเหล่าเจ้าสมบัติหรือนายทุน ดังที่เป็นอยู่ในประเทศไทยขณะนี้ |
ฉะนั้น
หากมหาชนอันเป็นชนส่วนใหญ่ของสังคมนอนทุกข์เพราะถูกกดขี่ขูดรีดตลอดมานับแต่ยุค |
ทาส ยุคศักดินา
และยุคทุนนิยมในปัจจุบันต้องการมีกฎหมายเพื่อรักษาผลประโยชน์แห่งชนชั้นของตน |
มหาชนก็จะต้องเจริญรอยตามเจ้าทาส
เจ้าศักดินาและเจ้าสมบัติหรือนายทุน นั่นคือ การเข้ากุมอำนาจ |
รัฐ และเมื่อนั้นมหาชนจึงจะมีกฎหมายเพื่อผลประโยชน์ของมหาชน
และนั่นหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ |
และความผาสุก
ที่มหาชนพึงจะได้รับจากสังคมร่วมกัน |
top |